พญ.จีรนันท์ วนวรรณนาวิน
สูตินรีแพทย์
สิ่งสำคัญที่คุณแม่ตั้งครรภ์ทุกคนต้องการ นั่นก็คือ การให้ลูกของเรามีสุขภาพที่ดีและแข็งแรงสมบูรณ์… และการจะให้ลูกมีสุขภาพที่ดีนั้น คุณแม่จะต้องดูแลตนเองโดยเริ่มตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ ระหว่างตั้งครรภ์ เพื่อให้มีสุขภาพดีทั้งคุณแม่และคุณลูก
เริ่มต้นเตรียมความพร้อมก่อนตั้งครรภ์
การเตรียมความพร้อมควรเริ่มต้นตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ โดยควรเตรียมความพร้อมทั้งฝ่ายคุณพ่อและคุณแม่ เริ่มต้นโดยการตรวจสุขภาพ ความสมบูรณ์ และความพร้อมทางด้านร่างกายของคุณพ่อและคุณแม่ โดยจะมีการตรวจสุขภาพ
- ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC)
- ภาวะโรคโลหิตจาง หรือธาลัสซีเมีย
- การตรวจโรคติดเชื้อต่างๆ เช่น ซิฟิลิส HIV ไวรัสตับอักเสบบี
- ภูมิคุ้มกันหัดเยอรมัน (ตรวจเฉพาะคุณแม่)
*หากคุณแม่ไม่มีภูมิคุ้มกันหัดเยอรมัน แนะนำควรฉีดวัคซีนหัดเยอรมันเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน เพราะถ้าหากคุณแม่ตั้งครรภ์แล้วเป็นหัดเยอรมันในขณะที่ตั้งครรภ์ อาจทำให้ทารกในครรภ์พิการได้ โดยหลังเข้ารับการฉีดวัคซีน แนะนำว่าเพื่อความปลอดภัยของทารกในครรภ์ ควรคุมกำเนิดเป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือน
- ตรวจมะเร็งปากมดลูก
- อัลตราซาวนด์รังไข่และมดลูก
หากพบความผิดปกติจะได้ทำการรักษาตั้งแต่เริ่มต้นก่อนที่จะตั้งครรภ์
ท้องนอกมดลูก หนึ่งในสาเหตุที่คุณแม่ต้องยุติการตั้งครรภ์

การฝากครรภ์สำคัญอย่างไร?
การฝากครรภ์เป็นสิ่งสำคัญ และเป็นสิ่งที่คุณแม่ควรทำทันทีเมื่อพบว่าตนเองตั้งครรภ์ เนื่องจากการฝากครรภ์เป็นการเฝ้าระวังความสี่ยง คอยติดตามการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ และยังเป็นการเฝ้าระวังติดตามอาการผิดปกติในระหว่างการตั้งครรภ์
ปัจจุบัน คุณแม่มีการตั้งครรภ์ในอายุที่เพิ่มมากขึ้น หากคุณแม่มีอายุมากกว่า 35 ปี จะมีความเสี่ยงค่อนข้างเยอะกว่าคุณแม่ตั้งครรภ์ที่อายุน้อย โดยภาวะเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นหากตั้งครรภ์เมื่อมีอายุมาก ได้แก่
- ภาวะดาวน์ซินโดรม หากคุณแม่ตั้งครรภ์เมื่อมีอายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไป จะทำให้ทารกมีโอกาสเสี่ยงเป็นภาวะดาวน์ซินโดรมได้ง่าย โดยปัจจุบันสามารถตรวจคัดกรองภาวะดาวน์ซินโดรมได้โดย
- เจาะเลือดคุณแม่เพื่อตรวจคัดกรองหาลักษณะความผิดปกติของโครโมโซมทารกในครรภ์เพียงเจาะเลือดคุณแม่ 10 มิลลิลิตร ก็สามารถตรวจลักษณะทางพันธุกรรมของทารกได้ โดยสามารถเข้ารับการตรวจได้เมื่อมีอายุครรภ์ประมาณ 12-14 สัปดาห์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด มีหลากหลายการทดสอบ เช่น NIFTY, Panorama, NIPT เป็นต้น
- Amniocentesis การเจาะน้ำคร่ำ เพื่อตรวจดูความผิดปกติของโครโมโซม โดยสามารถตรวจได้ในอายุครรภ์ 18 – 20 สัปดาห์ ซึ่งการตรวจโดยการเจาะน้ำคร่ำเป็นวิธีการตรวจที่ให้ความแม่นยำมากที่สุด 99% เช่นเดียวกับการตัดชิ้นเนื้อรก ซึ่งหากคุณแม่ที่ตรวจด้วยวิธีการตรวจเลือดแล้ว มีผลบวกหรือพบความผิดปกติของโครโมโซมทารก แพทย์จึงจะแนะนำให้ตรวจโดยการเจาะน้ำคร่ำเพื่อยืนยัน
- ภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์
- ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ หรือเรียกว่า “ครรภ์เป็นพิษ”
ฝากครรภ์ครั้งแรกต้องตรวจอะไรบ้าง?
การตรวจอัลตราซาวนด์
การอัลตราซาวนด์ เป็นการตรวจโดยใช้คลื่นเสียงที่ส่งออกไปแล้วสะท้อนกลับออกมาเป็นรูปภาพซึ่งมีความปลอดภัยต่อคุณแม่และทารกในครรภ์ โดยปกติแล้วคุณแม่ควรทำการอัลตราซาวนด์ อย่างน้อยที่สุดจำนวน 2 ครั้ง
ปัจจุบัน การอัลตราซาวนด์ 4 มิติ อายุครรภ์ประมาณ 7 เดือน จะทำให้เห็นภาพเสมือนจริง ซึ่งจะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่เห็นหน้าทารกได้ชัดขึ้น ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการอัลตราซาวนด์ทั่วไปเล็กน้อย

วัคซีนที่จำเป็นสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์
ในการฝากครรภ์ คุณแม่จะได้รับวัคซีน โดยมีวัคซีนสำคัญอยู่ 4 รายการ โดยวัคซีนที่แนะนำให้ฉีดในปัจจุบัน ได้แก่ วัคซีนบาดทะยัก วัคซีนไอกรน และวัคซีนป้องกัน Covid-19
ข้อควรรู้! สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ควรดูแลตัวเองอย่างไร?
อาหารที่คนท้องควรทาน
การรับประทานทานอาหารสำหรับคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ควรรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ เน้นโปรตีน เนื้อสัตว์ นม ไข่ รับประทานปริมาณน้อย แต่บ่อยๆ ประมาณ 5-6 มื้อต่อวัน
คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ในแต่ละไตรมาส ต้องการสารอาหารแตกต่างกันไป ไตรมาสแรก (อายุครรภ์ 0-3 เดือน) เป็นช่วงที่ทารกมีการสร้างอวัยวะ ยังไม่มีการขยายขนาดของร่างกายมากนัก น้ำหนักตัวคุณแม่อาจเพิ่มขึ้น 1-2 กิโลกรัม แต่ถ้ามีอาการแพ้ท้องก็อาจทำให้น้ำหนักตัวลดลงไปบ้าง พลังงานสารอาหารที่ร่างกายควรได้รับในระยะนี้ใกล้เคียงกับก่อนตั้งครรภ์ หากแพ้ท้องมากทำให้รับประทานอาหารได้น้อย ควรแบ่งมื้ออาหารเป็นมื้อย่อยๆ แต่รับประทานให้บ่อยขึ้น
ช่วงไตรมาสที่สอง (อายุครรภ์ 4-6 เดือน) ระยะนี้ทารกกำลังสร้างอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย และมีอัตราการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้น จำเป็นต้องใช้พลังงานและสารอาหารสำหรับทารก และสำหรับร่างกายของคุณแม่เองด้วย จึงจำเป็นต้องรับประทานอาหารที่มีพลังงานและสารอาหารสูงกว่าคนทั่วไป และควบคุมน้ำหนักตัวให้เพิ่มขึ้นตามเกณฑ์ คือ 0.5 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ หรือ 2 กิโลกรัมต่อเดือน
สำหรับช่วงไตรมาสที่ 3 (อายุครรภ์ 7-9 เดือน) เป็นช่วงที่ทารกขยายขนาดร่างกายเพิ่มขึ้นมาก รวมถึงการสร้างกระดูกและฟัน จึงควรรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูง เน้นอาหารที่มีกรดไขมัน โอเมก้า3 ซึ่งเป็นกรดไขมันดี ได้แก่ ปลาทู ปลาจะละเม็ด เป็นต้น
ในช่วงนี้ ร่างกายต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นประมาณ 300 กิโลแคลอรีต่อวัน และต้องการโปรตีนจากเนื้อสัตว์ นม ไข่ เพิ่มขึ้นจากเดิม รวมทั้งต้องการธาตุเหล็ก เพื่อใช้สร้างเม็ดเลือดแดง โฟเลทในการป้องกันความพิการแต่กำเนิด และภาวะปากแหว่งเพดานโหว่ของทารก แหล่งอาหารที่มีเหล็กและโฟเลท ได้แก่ ตับ เนื้อสัตว์ ผักใบเขียวเข้ม นอกจากนี้ร่างกายยังต้องการแคลเซียมและฟอสฟอรัสในการสร้างกระดูกและฟัน แหล่งอาหารได้จากนม ปลา เต้าหู้แข็ง ธัญพืช และผักใบเขียวเข้ม คุณแม่ควรรับประทานอาหารที่มีไอโอดีน เช่น อาหารทะเล หรือปรุงอาหารด้วยเครื่องปรุงที่เสริมไอโอดีน เพราะไอโอดีนจะช่วยในการพัฒนาระบบประสาท และการเจริญเติบโตของเซลล์สมองของทารกในครรภ์
นอกจากนี้ ควรดื่มน้ำสะอาดวันละ 10 แก้ว เลือกอาหารที่สด สะอาด ปรุงสุกใหม่ และได้รับสารอาหารครบถ้วน
การตั้งครรภ์ เป็นสิ่งพิเศษระหว่างแม่กับลูก อาจเป็นระยะเวลาเพียง 9 เดือน แต่ยิ่งใหญ่เหลือเกินสำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง เรามาดูพัฒนาการของลูกน้อยในครรภ์กันค่ะว่า กว่าจะมาเป็น BABY ลูกน้อยของเรา ในแต่ละเดือนนั้นเป็นอย่างไร … ขอแสดงความยินดีกับผู้ที่กำลังจะเป็นคุณแม่ทุกท่านด้วยนะคะ 🙂
ออกกำลังกายแบบไหน ปลอดภัยสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์
สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีภาวะแท้งคุกคาม ควรงดการออกกำลังในช่วง 3 เดือนแรก เพราะยังคงมีโอกาสแท้งบุตรได้ ส่วนคุณแม่ที่มีภาวะเลื่อนคลอดก่อนกำหนด ควรงดออกกำลังกายตลอดการตั้งครรภ์