การวินิจฉัยโรคภูมิแพ้ ทั้งแพ้อาหาร จมูกอักเสบจากภูมิแพ้ โรคหืด และผื่นภูมิแพ้ผิวหนังอักเสบ นอกจากการซักถามประวัติ และตรวจร่างกายที่เข้ากันได้กับโรคแล้ว ผู้ป่วยควรได้รับการตรวจเพิ่มเติมด้วยการทดสอบภูมิแพ้ ซึ่งมีทั้งการทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง (Allergy skin test) และการเจาะเลือดส่งตรวจ และหาสารก่อภูมิต้านทานต่อสารก่อภูมิแพ้ (Serum Specific IgE)
1.การทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง คือ การนำน้ำยาสกัดจากสารภูมิแพ้ชนิดต่างๆ ที่มีอยู่ในอากาศ เช่น ฝุ่น ตัวไรฝุ่น รังแคของสัตว์ แมลงสาบ เกสรหญ้า วัชพืช เชื้อรา เป็นต้น มาทำการทดสอบที่ผิวหนังของผู้ป่วย เพื่อทำให้ทราบว่าแพ้สารใด วิธีนี้เป็นวิธีที่ช่วยในการวินิจฉัยโรคภูมิแพ้ที่มีความไวและความจำเพาะสูง ทำง่าย และราคาไม่แพง สามารถทราบผลได้ทันที ผู้ป่วยสามารถเห็นปฏิกิริยาภูมิแพ้ที่เกิดขึ้นด้วยตาของตนเอง โดยการเลือกว่าจะทำการทดสอบสารภูมิแพ้ชนิดใด จะทำโดยการปรึกษาแพทย์ก่อน และแพทย์อาจนัดมาทำการทดสอบในภายหลัง สามารถใช้ได้กับทุกวัยแม้ในเด็กเล็ก ทราบผลได้ภายในวันนั้น และช่วยวินิจฉัยโรคได้
น้ำยาสารก่อภูมิแพ้ที่ใช้ทดสอบประกอบด้วยสารก่อภูมิแพ้อะไรบ้าง?
น้ำยาที่ใช้ในการทดสอบมีทั้งสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ เช่น ไรฝุ่น รังแคของสัตว์ เช่น สุนัข แมว แมลงสาบ เชื้อราชนิดต่าง ๆ เกสรพืช หญ้า และสารก่อภูมิแพ้ที่เป็นอาหาร เช่น นมวัว ไข่ ถั่ว อาหารทะเล
Skin test การทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนังทำอย่างไร ?
การทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนังที่ใช้ในการวินิจฉัยโรคภูมิแพ้ มักใช้วิธี “การทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนังด้วยการสะกิด” (skin prick test) มีขั้นตอนดังนี้
- หยดน้ำยาที่เป็นสารก่อภูมิแพ้ลงบนผิวหนังของผู้ป่วย
- ใช้เครื่องมือทดสอบ สะกิดที่ผิวหนังของผู้ป่วย บริเวณท้องแขน สำหรับผู้ใหญ่และเด็กโต หรือที่หลัง สำหรับเด็กเล็กที่ไม่ค่อยร่วมมือ
- รออ่านผล 15-20 นาทีหลังทำ หากผู้ป่วยแพ้สารใดก็จะเกิดปฎิกิริยาเป็นตุ่มนูนแดง คัน ในตำแหน่งที่ตรงกับทดสอบสารก่อภูมิแพ้นั้น
- หลังการทดสอบ แนะนำให้ผู้ป่วยนั่งพักรอดูอาการ อย่างน้อย 30 นาที หากไม่มีอาการผิดปกติ อย่างอื่นจึงกลับบ้านได้
อาการบวมบริเวณที่ทดสอบ ยุบได้เองภายใน 2-3 ชั่วโมง หลังจากทดสอบภายใน 24 ชั่วโมง อาจยังมีผื่นแดงได้ ผู้ป่วยควรวัดขนาดผื่นแดง และบันทึกไว้เพื่อให้แพทย์ทราบ ส่วนใหญ่ผื่นนั้นจะค่อยๆ หายไปได้เอง
การเตรียมตัวก่อนการทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง
- ผู้ป่วยจะต้องงดยาแก้แพ้ (เฉพาะชนิดที่รับประทาน) ก่อนมาทดสอบอย่างน้อย 5-7 วัน
- หากใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดฉีดหรือรับประทาน ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนทำการทดสอบ
- ส่วนผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ควรแจ้งชื่อยาให้แพทย์ทราบก่อนทดสอบ เพราะยาบางชนิดมีผลต่อการทดสอบ
- ในวันที่ทำการทดสอบผู้ป่วยไม่ควรมีอาการป่วยหรือเป็นไข้ และควรพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อเตรียมพร้อมร่างกาย
ประโยชน์ของการทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง
1. ทำให้ทราบว่าโรคที่ผู้ป่วยเป็น มีสาเหตุมาจากโรคภูมิแพ้
2. ทำให้ผู้ป่วยทราบว่าตนเองแพ้สารก่อภูมิแพ้ชนิดใด และมากน้อยเพียงใด
3. ผู้ป่วยสามารถกำจัด หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ที่ตนแพ้ ทำให้อาการของโรคน้อยลง และลดการเกิดอาการของโรคอื่นขึ้นได้
4. ถ้าหากจำเป็นต้องรักษาโดยการฉีดวัคซีน แพทย์จะใช้ผลการทดสอบภูมิแพ้นี้เป็นข้อมูลในการสั่งวัคซีนภูมิแพ้สำหรับฉีดให้ผู้ป่วยต่อไป
2. การเจาะเลือดส่งตรวจ หาปริมาณสารก่อภูมิต้านทานต่อสารก่อภูมิแพ้แต่ละชนิด (Serum Specific IgE)
ข้อดี
- เป็นวิธีที่ไม่เสียงต่ออาการแพ้ทั่วร่างกาย
- ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องงดยาแก้แพ้ก่อนตรวจ
- ไม่ต้องใช้เวลานานในการทดสอบ ผู้ป่วยทำได้สะดวก เจาะเลือดเพียง 1 ครั้ง ก็สามารถหาสารที่ผู้ป่วยแพ้ได้หลายชนิด
ข้อเสีย
- ราคาแพงกว่าการการทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง
- ไม่ทราบผลในทันที ต้องรอผลประมาณ 1 สัปดาห์
โรคภูมิแพ้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นโรคที่ร้ายแรง แต่ก็รบกวนการใช้ชีวิตประจำวันไม่น้อย หากเราทราบถึงสาเหตุของอาการแพ้ ก็จะสามารถหลีกเลี่ยงจากสิ่งที่ทำให้แพ้ และจะช่วยลดอาการจากการแพ้ได้ด้วย