นายแพทย์พิสัย แก้วรุ่งเรือง
อายุรแพทย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ
ปวดท้องแบบนี้ใช่โรคกระเพาะ (อาหารอักเสบ) หรือไม่
“โรคกระเพาะ (อาหารอักเสบ)” เป็นโรคที่คนส่วนใหญ่นึกถึงเป็นอันดับต้นๆ เมื่อมีอาการปวดท้อง
แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าอาการปวดท้องแบบไหนเป็นโรคกระเพาะ (อาหารอักเสบ)
หรือเป็นอาการปวดท้องที่ไม่ควรนิ่งนอนใจ…
ปวดท้องแบบไหนเป็นโรคกระเพาะ (อาหารอักเสบ)
อาการของโรคกระเพาะอาหาร ผู้ป่วยมักมีอาการปวดท้องกลางท้องช่วงบน ลักษณะการปวดคือรู้สึกปวดแน่น หรือแสบร้อนสัมพันธ์กับมื้ออาหาร เช่น หลังรับประทานอาหารอาการปวดท้องจะดีขึ้นหรือแย่ลง บางคนมีอาการอิ่มง่าย อิ่มเร็ว ระยะเวลาของการปวดอาจเป็นวันหรือเป็นเดือน หรือมีลักษณะเป็นๆหายๆ โดยส่วนใหญ่ไม่รุนแรงแต่ถ้าปล่อยให้เป็นเรื้อรังจนเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น เลือดออกที่กระเพาะอาหาร, กระเพาะอาหารทะลุ, กระเพาะอาหารอุดตัน, มะเร็งกระเพาะอาหาร ผู้ป่วยก็อาจเสียชีวิตได้
สาเหตุโรคกระเพาะอาหารอักเสบ ได้แก่
การติดเชื้อแบคทีเรียเฮลิโคแบคเตอร์ไพโลไร ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด
รับประทานยาแก้ปวดชนิดที่กัดกระเพาะอาหาร
รับประทานยาต้านเกล็ดเลือด
ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
ความเครียด
รับประทานอาหารรสเผ็ด
รับประทานอาหารไม่ตรงเวลา
เชื้อเอชไพโลไร คืออะไร?
“เชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ไพโลไร” เป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ติดต่อโดยการรับประทานอาหาร หรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อจากอุจจาระของผู้ติดเชื้อ เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะเข้าไปฝังตัวอยู่ในเยื่อบุกระเพาะ ทำให้เกิดการอักเสบที่เยื่อบุกระเพาะ เกิดแผล และมะเร็งกระเพาะอาหารได้
แนวทางการรักษาโรคกระเพาะอาหาร
สำหรับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร ผู้ป่วยสามารถดูแลรักษาตัวเองได้โดยไม่ต้องใช้ยา โดยมีวิธีแก้ปวดท้องโรคกระเพาะในเบื้องต้น ดังนี้
รับประทานแต่ละมื้อให้น้อยลง
งดอาหารรสเผ็ดและรสจัด
งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอร์และกาแฟ
งดการสูบบุหรี่
รับประทานอาหารให้ตรงเวลา
หลีกเลี่ยงความเครียด
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
ปวดท้องแบบไหนเสี่ยงเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร
1. มีอาการปวดท้องในคนอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป
2. เลือดออกทางเดินอาหาร (อาเจียนมีเลือดปน, ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดปน หรือถ่ายอุจาระมีสีดำ), น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ, อาเจียนบ่อยๆทุกวัน
3. ไม่ตอบสนองต่อการรักษาโดยการใช้ยาลดกรดแบบเม็ด เป็นระยะเวลา 4 – 8 สัปดาห์หลังการรักษา
4. มีอาการเป็นๆหายๆบ่อยครั้ง, มีประวัติมะเร็งกระเพาะอาหารหรือทางเดินอาหารของญาติสายตรงลำดับหนึ่ง (ได้แก่ พ่อ, แม่, พี่, น้อง)
ผู้ป่วยที่มีอาการดังกล่าวเบื้องต้นควรได้รับการตรวจเพื่อหาสาเหตุเพิ่มเติม เช่น การส่องกล้องกระเพาะอาหาร ซึ่งการส่องกล้องกระเพาะอาหารเป็นหัตถการที่ปลอดภัยและมีภาวะแทรกซ้อนน้อย ทำได้โดยการพ่นยาชาเฉพาะที่บริเวณในช่องคอ หรือยาฉีดทางหลอดเลือดดำเพื่อให้ผู้ป่วยหลับ และนำกล้องลักษณะคล้ายท่อขนาดเล็กประมาณ 1 เซนติเมตร ผ่านช่องคอ หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็กส่วนต้น เพื่อให้เห็นการอักเสบ แผล หรือเนื้องอก ทั้งนี้ การส่องกล้องยังสามารถบันทึกภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหว, สอดที่ตัดชิ้นเนื้อขนาดเล็กผ่านทางกล้อง เพื่อนำชิ้นเนื้อมาตรวจหาเชื้อแบคทีเรียเฮลิโคแบคเตอร์ไพโลไร ส่งตรวจชิ้นเนื้อทางพยาธิเพื่อหามะเร็ง เป็นต้น
“โรคกระเพาะ (อาหารอักเสบ) เป็นโรคที่พบได้บ่อย ดังนั้น ผู้ป่วยควรพบแพทย์เพื่อให้คำแนะนำและการรักษา และทราบวิธีการดูแลตนเองเบื้องต้นหากป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหาร และสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการซึ่งเป็นสัญญาณเตือนโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร ควรได้รับการตรวจเพิ่มเติม เพื่อรับการรักษาอย่างทันท่วงที“