“นิ่วในถุงน้ำดี” เกิดจากภาวะไม่สมดุลของสารประกอบในน้ำดี ทำให้เกิดตะกอนแข็งสะสมขึ้นภายในถุงน้ำดี โดยนิ่วที่เกิดขึ้นจะมีขนาดใหญ่ เล็กแตกต่างกัน โดยโรคนี้มักพบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป และผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 1-2 เท่า
สัญญาณเตือนโรค “นิ่วในถุงน้ำดี”
เราสามารถสังเกต อาการสัญญาณเตือนของโรคนิ่วในถุงน้ำดี ได้ดังนี้
- ท้องอืด ท้องเฟ้อ
- แน่นท้อง อาหารไม่ย่อย โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง
- ปวดเสียดท้อง ปวดท้องบริเวณใต้ชายโครงขวาหรือลิ้นปี และอาจมีอาการร้าวไปที่สะบักขวา
- มีไข้ และมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย
- ผิวและตาขาวมีสีออกเหลือง หรือมีอาการของโรคดีซ่าน
- ปัสสาวะสีเข้ม
ใครบ้างที่มีความเสี่ยงสูง
- ผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป
- ผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคอ้วน
- ผู้ป่วยโรคโลหิตจาง โรคธาลัสซีเมีย
- ผู้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลสูง
- ผู้ที่บริโภคอาหารมัน อาหารทอดมากเกินไป
- ผู้หญิงที่มีบุตรแล้ว
- ผู้ที่รับประทานยาลดไขมันบางชนิด
นิ่วในถุงน้ำดี รักษาหายได้หรือไม่?
โรคนิ่วในถุงน้ำดี แม้ว่าจะไม่รุนแรง แต่อันตรายหากปล่อยไว้ จนนิ่วหลุดเข้าสู่ท่อน้ำดี หรือท่อตับอ่อน อีกทั้งยังมีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งถุงน้ำดีได้ แม้จะเกิดขึ้นได้น้อยก็ตาม เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ควรละเลยการรักษาโรคดังกล่าว ซึ่งวิธีการรักษานิ่วในถุงน้ำดีที่ดีที่สุด คือ การผ่าตัด โดยปัจจุบันนิยม 2 วิธี
- การผ่าตัดด้วยการเปิดหน้าท้อง โดยเปิดช่องท้องบริเวณใต้ชายโครงด้านขวา ความยาวประมาณ 6 – 7 เซนติเมตร
- การผ่าตัดผ่านกล้อง โดยเจาะช่องเป็นแผลขนาดเล็กๆ ประมาณ 0.5 – 1 เซนติเมตร จำนวน 3 – 4 จุด ซึ่งช่วยให้แผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก หายเร็วขึ้น และไม่จำเป็นต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาลเป็นเวลานาน
นิ่วในถุงน้ำดี ไม่สามารถหายเองได้ หากปล่อยไว้อาจเกิดการอักเสบ และมีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาจนเป็นอันตรายถึงชีวิต
