ผื่นกลีบกุหลาบ – ผื่นร้อยวัน ภัยสุขภาพจากความเครียด นอนน้อย
โรคผื่นร้อยวัน – ผื่นกุหลาบ – ผื่นกลีบกุหลาบ – ผื่นขุยกุหลาบ (Pityriasis rosea) เป็นโรคผิวหนังที่พบบ่อยในวัย 10-35 ปี โดยพบว่ามีความสัมพันธ์กับการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย การได้รับวัคซีน ผื่นแพ้ยุงและแมลง และยาบางชนิดก็สามารถทำให้เกิดผื่นแบบเดียวกันได้
ผู้ป่วยจะมีผื่นขึ้นในลักษณะเป็นวงกว้าง กลม รี สีชมพูหรือสีแดง หรือเป็นจุดรูปไข่ ระยะแรกจะพบผื่นใหญ่ขนาดประมาณ 2-6 เซนติเมตร ตรงกลางของผื่นมีขุยขนาดเล็ก โดยมักจะพบขึ้นตามบริเวณลำตัว หน้าอก หน้าท้อง และแผ่นหลัง บางครั้งอาจพบบริเวณคอ แขน หรือขาส่วนบนได้ และอาจมีอาการคันร่วมด้วย ในผู้ป่วยบางรายอาจพบอาการปวดเมื่อยตามตัว คลื่นไส้ เบื่ออาหาร มีไข้ ปวดตามข้อ ต่อมน้ำเหลืองโต ซึ่งอาการเหล่านี้พบได้น้อย
อาการของผื่นกลีบกุหลายจะปรากฏอยู่ประมาณ 2-12 สัปดาห์ แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการนานถึง 5 เดือน และผื่นจะหายไปเอง โดยทิ้งรอยไว้ในระยะสั้นๆ วิธีการรักษาผื่นกุหลาบจะเป็นการรักษาตามอาการเป็นหลัก การใช้ครีมหรือยาเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวในบริเวณที่มีผื่นขึ้น รวมไปถึงการรับประทานยาสเตียรอยด์เพื่อบรรเทาอาการคัน แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการน้อยจนไม่จำเป็นต้องใช้ยา ในผู้ป่วยบางรายที่มีผื่นขึ้นเป็นจำนวนมาก อาจจะต้องใช้วิธีการรักษาโดยการฉายแสงยูวีบี (UVB Light Therapy) เพื่อให้อาการทุเลาลง
ผื่นกลีบกุหลาบไม่ก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อน และพบโอกาสในการเป็นซ้ำนั้นมีน้อย หากสงสัยว่าจะเป็นผื่นกลีบกุหลาบ แนะนำให้มาปรึกษาพบแพทย์ เพราะถ้าหากรักษาผิดวิธี อาจทำให้เกิดอาการคันรุนแรง และอาจมีจุดสีน้ำตาลเกิดขึ้นได้หลังอาการผื่นหายดีแล้ว นอกจากนี้ ผู้ป่วยโรคผื่นกุหลาบจะมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ โรคเซ็บเดิร์ม โรคสิว และรังแค สูงกว่าคนทั่วไป และยังพบว่ามักมีการกำเริบของผื่นมากขึ้นในผู้ที่มีความเครียดสูงด้วย
ผื่นกลีบกุหลาบ สามารถพบได้ตลอดทั้งปี โดยส่วนใหญ่มักพบบ่อยในช่วงฤดูหนาว และฤดูฝน เนื่องจากอากาศที่เปลี่ยนแปลงทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานต่ำ ยิ่งใครที่มีผิวค่อนข้างแห้งจะยิ่งมีอาการคันมากขึ้น ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า ความเครียด และอากาศที่หนาวเย็นที่ส่งผลให้ผิวแห้ง สามารถเป็นปัจจัยให้เกิดอาการกำเริบและคันอย่างรุนแรงในผู้ป่วยผื่นกลีบกุหลาบได้