“โรคเกาต์พบได้บ่อยในคนไทย ส่วนใหญ่มักพบในเพศชายอายุ 35 ปีขึ้นไป โดยพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง 9-10 เท่า”
เกาต์ (Gout) เป็นโรคข้ออักเสบที่พบได้บ่อยที่สุดในบรรดาโรคข้ออักเสบทั้งหมด สาเหตุเกิดจากความผิดปกติของการสันดาป (Metabolism) สาร Purines ซึ่งมีอยู่ในเนื้อเยื่อต่างๆ ทั่วร่างกาย ได้เป็นกรดยูริคที่มีระดับสูงกว่าปกติในเลือด
กรดยูริคในเลือดสูงและสะสมอยู่ในร่างกายเป็นเวลานานจนร่างกายขับออกทางไตไม่ทัน กรดยูริคจะตกผลึกเป็นเกลือยูเรตสะสมที่กระดูกอ่อนและเนื้อเยื่อรอบข้อ ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อในข้อ ส่งผลให้มีอาการปวด บวม แดงบริเวณข้ออย่างเฉียบพลันรุนแรงอย่างรวดเร็วในเวลา 12 – 24 ชั่วโมง
ปัจจัยเสี่ยงโรคเกาต์ จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นเกาต์
อาการข้ออักเสบมักกำเริดด้วยระดับกรดยูริคในเลือดที่เปลี่ยนแปลงทันทีทันใด คือ ระดับสูงขึ้นหรือลดลงฉับพลันซึ่งอาจเกิดจาก
- หลังจากการดื่มไวน์ โดยเฉพาะไวน์แดง
- ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลังออกกำลังกาย
- ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขนาดหนัก
- รับประทานยาต้านมะเร็ง
ปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ล้วนเป็นตัวกระตุ้นให้ระดับกรดยูริคในเลือดสูงจนโรคเกาต์กำเริบได้ ผู้ป่วยบางรายอาจมีข้ออักเสบกำเริบหลังจากที่รับประทานอาหารที่ประกอบด้วย Purines ในปริมาณมาก การมีกรดยูริคในเลือดสูงโดยไม่มีข้ออักเสบไม่ถือว่าเป็นโรคเกาต์

ปวดตามข้อ ปวดข้อเรื้อรัง อาการเตือนโรคเกาต์
ผู้ป่วยโรคเกาต์ไม่จำเป็นต้องมีระดับกรดยูริคในเลือดสูง และการมีระดับกรดยูริคในเลือดสูง ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นโรคเกาต์เสมอไป
ในการตรวจวินิจฉัยโรคเกาต์ ไม่ได้ใช้ระดับกรดยูริคเป็นหลัก แต่แพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยจากอาการปวดข้อรุนแรงฉับพลัน และการตรวจพบผลึกยูริคจากของเหลวที่เจาะจากข้อ
การอักเสบแต่ละครั้ง มักเกิดเพียงข้อเดียวเท่านั้น ส่วนใหญ่เป็นที่ข้อหัวแม่เท้าและอาจเกิดอาการที่ข้ออื่นๆ เช่น ข้อเท้า ข้อเข่า และที่พบไม่บ่อย ได้แก่ ข้อมือ ข้อศอก และข้อนิ้วมือ
ข้อที่อักเสบมักเกิดการบวม แดง กดเจ็บ และปวดมากขึ้นเมื่อขยับข้อหรือลูบสัมผัสเพียงเบาๆ อาการปวดรุนแรงฉับพลันอาจทำให้เดินลำบาก และอาจมีไข้ต่ำๆ ในผู้ป่วยบางราย
โรคเกาต์รักษาให้หายได้ไหม? รักษาอย่างไร?
ผู้ป่วยโรคเกาต์หากได้รับการรักษาจะหายสนิทภายในเวลา 1-3 วัน แต่ถ้าไม่ได้รับการรักษา มักหายเป็นปกติได้เองในเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ และเว้นระยะเวลาอีกหลายเดือนหรือนานเป็นปี จึงมีอาการข้ออักเสบกำเริบขึ้นมาใหม่
อาการกำเริบของข้ออักเสบจะถี่ขึ้น นานขึ้น และเป็นหลายข้อขึ้นตามระยะเวลาที่ป่วย ดังนั้น จึงมีเพียงนานๆ ครั้งเท่านั้น ที่เราจะพบข้ออักเสบมากกว่า 1 ข้อในเวลาเดียวกัน ซึ่งอาการนี้มักพบในผู้ป่วยโรคเกาต์เรื้อรัง
โรคเกาต์เรื้อรัง หากไม่ได้รับการรักษา ผลึกเกลือยูเรตปริมาณมากที่สะสมในข้อ เนื้อเยื่อรอบข้อ กระดูกอ่อน จะรวมกันเป็นของเหลวลักษณะคล้ายชอล์กหรือยาสีฟันเกิดเป็นก้อนใต้ผิวหนัง ซึ่งจะค่อยๆ มีขนาดใหญ่ขึ้น เรียกว่า Tophus ซึ่งก้อน Tophus นี้จะทำลายเนื้อเยื่อโดยรอบ ทำให้ข้อผิดรูป พิการ เส้นเอ็นขาดได้
ผู้ป่วยที่เป็นเกาต์เรื้อรังนานวันเข้า ก้อน Tophus มีขนาดใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ เกิดก้อนตะปุ่มตะป่ำที่เนื้อเยื่อรอบข้อ อาจแตกออกเป็นแผล และมีของเหลวสีขาวคล้ายยาสีฟันไหลออกมาจากก้อน
นอกจากนี้ กรดยูริคในเลือดที่สูงถูกขับออกทางไตในปริมาณมากทำให้ความเข้มข้นของเกลือยูเรตในปัสสาวะสูงตามไปด้วย หากไม่ได้รับการรักษา เกลือยูเรตที่มีปริมาณสูงสะสมมาเป็นระยะเวลานานจะตกผลึกในไต ก่อให้เกิดภาวะไตวาย หรือ นิ่วในทางเดินปัสสาวะ
ใครบ้างเสี่ยงเป็นโรคเกาต์
มีแนวโน้มที่จะพบโรคเกาต์ในเครือฐาติ นั่นคือ ผู้มีที่กรดยูริคในเลือดสูง และมีญาติสายตรงเป็นโรคเกาต์ มีความเสี่ยงในการเกิดโรคสูงกว่าผู้ที่มีกรดยูริคในเลือดสูงเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีญาติสายตรงเป็นโรคเกาต์
โรคเกาต์สามารถพบได้บ่อยในเพศชาย ซึ่งมากกว่าเพศหญิง 9-10 เท่า พบผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเพศชายที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป และสำหรับเพศหญิงมักจะพบได้ในวัยหมดระดูเป็นส่วนใหญ่
นอกจากนี้แล้วยังพบโรคแทรกซ้อน หรือโรคที่มักพบได้ในผู้ป่วยโรคเกาต์ ได้แก่
- ความดันโลหิตสูง
- หลอดเลือดแดงแข็ง
- ไขมันในเลือดสูง
- เบาหวาน
ดูแลตนเองอย่างไรเมื่อเป็น “เกาต์”
