วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) เป็นวัคซีนโควิดที่คิดค้นโดยบริษัทแอสตราเซเนกา (AstraZeneca) ร่วมกับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด (Oxford University) โดยใช้เชื้อไวรัสอดิโน่ (Adenovirus) มาดัดแปลงพันธุกรรมให้มีโปรตีนโคโรนาไวรัส ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายมนุษย์สร้างภูมิคุ้มกันโคโรนาไวรัสได้ในทางทฤษฎี ปัจจุบัน ได้รับการอนุมัติใช้งานแล้วกว่า 168 ประเทศทั่วโลก โดยสามารถฉีดได้ตั้งแต่ผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) ฉีดทั้งหมด 2 เข็ม ห่างกัน 1-3 เดือน โดยฉีดที่ต้นแขนด้านบน โดยจากผลการทดสอบผู้ที่ได้รับวัคซีนนี้ พบว่า
- ช่วยป้องกันอาการป่วยจากโควิด-19 ป้องกันการติดเชื้อรุนแรงที่ต้องเข้านอนรับการรักษาในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ป้องกันได้ 100% หลังฉีดเข็มแรก 22 วันไปแล้ว
- จากการศึกษาการกระตุ้นภูมิคุ้มกันในคนไทย พบว่าหลังฉีดเข็มแรก 30 วัน ผู้ใช้วัคซีนมีภูมิคุ้มกันถึง 96.7% ลดอัตราการแพร่เชื้อไวรัสโคโรนา – สูงถึง 63.0% หลังฉีดเข็มแรก 3 สัปดาห์
ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.azcovid-19.com/asia/th/th.html

อาการข้างเคียงหลังการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) ที่สามารถพบได้ ประกอบด้วย
> 60% เจ็บบริเวณที่ฉีด
> 50% ปวดศรีษะ อ่อนเพลีย
> 40% ปวดกล้ามเนื้อ ครั่นเนื้อครั่นตัว
> 30% ไข้ หนาวสั่น
> 20% รู้สึกคลื่นไส้
อาการข้างเคียงที่พบได้ยาก < 1% มีอาการต่อมน้ำเหลืองโต เบื่ออาหาร มึนหรือเวียนศรีษะ ปวดท้อง เหงื่อออกมากผิดปกติ มีผื่นคัน
ทั้งนี้ จากข้อมูลการใช้วัคซีนในสหราชอาณาจักร พบภาวะลิ่มเลือด 0.000013% ใน1,000,000 คน และจากข้อมูลการใช้วัคซีนในประเทศอินเดียพบภาวะลิ่มเลือด 0.61 ใน 1,000,000 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 27 พฤษภาคม 2564)
หลังจากได้รับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าไปแล้ว หากมีอาการ เช่น ปวดศีรษะรุนแรงต่อเนื่อง ตาพร่ามัว เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก ขาบวม ปวดท้องอย่างต่อเนื่อง ผิวหนังมีรอยช้ำผิดปกติ หรือมีจุดเลือดออกที่ผิวหนัง (ไม่รวมจุดที่ได้รับการฉีดวัคซีน) ควรรีบไปพบแพทย์ หรือโทร 1669