โรคหัวใจขาดเลือด รักษาไม่ทัน อันตรายถึงชีวิต

นายแพทย์ธีรยุทธ เอกโรจนกุล
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจ

โรคหัวใจขาดเลือด รักษาไม่ทัน…อันตรายถึงชีวิต

รู้หรือไม่ว่า “โรคหลอดเลือดหัวใจ” เป็นอีกหนึ่งโรคที่คนไทยเป็นกันจำนวนมาก โดยพบว่าเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต ที่ติดอันดับ 1 ใน 4 ของประชากรโลกรวมทั้งในประเทศไทย โดยปัจจุบันมักพบในผู้ที่มีอายุเพิ่มมากขึ้น และพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง

“โรคหัวใจขาดเลือด เป็นโรคที่ต้องเฝ้าระวัง เพราะหากเกิดอาการแล้ว นั่นหมายถึง ทุกวินาทีคือชีวิต หากรักษาไม่ทันก็อาจเสียชีวิตได้”

นายแพทย์ธีรยุทธ เอกโรจนกุล
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจ

ภาวะหลอดเลือดแข็ง คืออะไร

“ภาวะหลอดเลือดแข็ง (Atherosclerosis)” หรือ “ภาวะหลอดเลือดตีบ” เป็นภาวะที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของผนังหลอดเลือดทำให้ผนังหลอดเลือด ชั้นใน หนาตัวขึ้นเรื่อยๆ มีไขมันไปสะสมระหว่างหลอดเลือด จนในที่สุดทำให้เกิดหลอดเลือดตีบตัน เป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการของอวัยวะต่างๆ ขาดเลือดเกิดขึ้น

สาเหตุของภาวะหลอดเลือดแข็ง เกิดจาก

▪ การอุดตันหรือตีบแคบของหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงหัวใจ
▪ เกิดการสร้างคราบตะกอนไขมันขึ้นตามผนังด้านในของหลอดเลือดแดงของหัวใจ
▪ ส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดไปยังหัวใจลดลงหรือเลือดไปเลี้ยงไม่ได้
▪ ทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายหรือถ้ารุนแรงมากอาจทำให้เสียชีวิตได้

อย่างไรก็ตาม ไขมันสะสมอุดตันอันเป็นสาเหตุของภาวะหลอดเลือดแข็งไม่ได้เกิดเฉพาะในผู้สูงอายุเท่านั้น แต่สามารถพบได้ตั้งแต่อายุไม่มาก ทั้งนี้เนื่องมาจากพฤติกรรมการรับประทานในปัจจุบันนั่นเอง


โรคหัวใจเกิดจากอะไร?

ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ แบ่งได้ออกเป็น 2 ประเภท

ปัจจัยเสี่ยงที่แปรเปลี่ยนไม่ได้

  • อายุ เมื่ออายุมากขึ้น ก็ยิ่งทำให้เกิดการเสื่อมสภาพของหลอดเลือดเพิ่มขึ้น
  • เพศ ผู้ชายมีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้มากกว่าผู้หญิง แต่ในผู้หญิงที่หมดประจำเดือนแล้ว มีโอกาสเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจใกล้เคียงกับผู้ชาย
  • ประวัติครอบครัว หากมีบุคคลในครอบครัว เช่น ปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ พี่น้อง เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ ก็มีโอกาสเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจเพิ่มขึ้น

ปัจจัยเสี่ยงที่แปรเปลี่ยนได้

  • น้ำหนักเกินและอ้วน
  • กลุ่มอาการที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับภาวะน้ำหนักเกินหรือภาวะอ้วนร่วมกับปัจจัยเสี่ยงด้านอื่นๆ (Metabolic Syndrome) หรืออาจเรียกว่า “อ้วนลงพุง” ร่วมกับมีภาวะความผิดปกติ ได้แก่
    • ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง
    • ระดับ HDL ในเลือด (ไขมันดี) ต่ำ
    • ระดับน้ำตาลในเลือดสูง
    • ระดับความดันโลหิตสูง
  • ภาวะความดันโลหิตสูง เป็นเรื่องที่ต้องเฝ้าระวัง เพราะเป็นภาวะที่ไม่แสดงอาการ
  • ความเครียด
  • ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหรือโรคเบาหวาน
  • ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ
  • การไม่ออกกำลังกาย
  • การสูบบุหรี่
  • การรับประทานผักและผลไม้ในแต่ละวันน้อยเกินไป

เจ็บหน้าอกแบบไหนที่เป็นอาการโรคหัวใจ

  • เจ็บ แน่นหน้าอก เหมือนมีอะไรมากดทับ บีบรัดบริเวณกลางเยื้องมาทางด้านซ้าย โดยมักมีอาการเวลาออกแรงที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น
  • ปวดร้าวไปบริเวณแขนซ้ายขึ้นหัวไหล่
  • เหงื่อแตก
  • หน้าซีด คล้ายจะเป็นลม
  • เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน

หากมีอาการดังกล่าว บวกกับมีปัจจัยเสี่ยงร่วมด้วย นั่นอาจหมายถึงคุณเสี่ยงเป็นโรคหัวใจขาดเลือด

“เจ็บหน้าอก” แต่ไม่ได้เป็นโรคหัวใจ! อาจเป็นอาการของโรคอื่น

  • แสบร้อนที่หน้าอก เจ็บกลางอกหรือลิ้นปี่ บางครั้งมีเรอเปรี้ยว มักเป็นขณะอิ่ม เกิดจากโรคกรดไหลย้อน
  • เจ็บแปล๊บๆ เจ็บหัวใจเหมือนถูกเข็มทิ่มแทงหรือถูกไฟช็อต เกิดจากเส้นประสาทอักเสบ
  • เจ็บเวลาหายใจเข้าลึกๆ หรือเมื่อเอี้ยวตัว เกิดจากกล้ามเนื้อเอ็นหรือกระดูกซี่โครงอ่อนอักเสบ
  • กดเจ็บบริเวณหน้าอก โดยเฉพาะบริเวณกระดูกซี่โครงใกล้ๆ ทรวงอก เกิดจากกระดูกซี่โครงอ่อนอักเสบ
  • เจ็บตลอดเวลา เป็นนานหลายชั่วโมง หรือเป็นวันโดยที่ไม่มีอาการร้ายแรงอื่นๆ เกิดจากกล้ามเนื้อเอ็นหรือกระดูกซี่โครงอ่อนอักเสบ
  • อาการเจ็บไม่สัมพันธ์กับความหนักเบาของกิจกรรม เช่น เจ็บเวลานั่งหรือนอน แต่ขณะทำงานบางครั้งก็ไม่เจ็บ แม้จะออกแรงมากกว่าหรือเหนื่อยกว่า
  • อาการเจ็บหน้าอกเฉพาะด้านขวา

*ทั้งนี้ทั้งนั้น อาการอาจจะไม่จำเพาะเสมอไป ถ้ามีอาการที่ไม่ชัดเจนร่วมกับมีปัจจัยเสี่ยงอย่างอื่นก็อาจจะต้องมีการตรวจเพิ่มเติม

คุณเป็นโรคหัวใจหรือไม่? โรคหัวใจตรวจด้วยวิธีใดได้บ้าง การตรวจวินิจฉัยโรคหัวใจ

  • ประวัติสุขภาพและการตรวจร่างกาย(Medical history and Physical examination)
  • การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG: Electrocardiogram)
  • การถ่ายภาพรังสีของทรวงอก (Chest X-ray)
  • การบันทึกคลื่นไฟฟ้าชนิดติดตัว (Holter Monitoring)
  • การตรวจระดับเอนไซม์กล้ามเนื้อหัวใจในเลือด (Cardiac Enzyme Test)
  • การทดสอบสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย (EST: Exercise Stress Test)
  • การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (ECHO: Echocardiogram)
  • การตรวจวินิจฉัยโรคของหลอดเลือดหัวใจด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ความเร็วสูง (Computed Tomographic Angiography)
  • การตรวจหัวใจด้วยคลื่นสะท้อนแม่เหล็กไฟฟ้า (Cardiovascular MRI: CMR)
  • การสวนหัวใจหรือการฉีดสีดูหลอดเลือดหัวใจ (Cardiac Catheterization or Coronary Angiogram)
  • การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ รักษาหายไหม?

แนวทางในการรักษาขึ้นอยู่กับอาการ และร่างกายของคนไข้ ว่าเหมาะกับการรักษาวิธีใด

  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ เช่น ออกกำลังกาย ไม่ดื่มเหล้า งดสูบบุหรี่ พยายามไม่เครียด ควบคุมน้ำหนัก นั่งสมาธิ
  • การรักษาด้วยยา หลังจากได้รับการผ่าตัดแล้วจะต้องมียาบางตัวที่ต้องรับประทานตลอด เช่น ยาต้านเกล็ดเลือด ซึ่งผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • การขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูนและการใส่ขดลวด
  • การผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ หรือการทำ “บายพาส”

บทความทางการแพทย์
โทรหาเรา 1728 นัดหมายแพทย์ นัดหมายแพทย์

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า