ศูนย์ผ่าตัดโดยการส่องกล้อง
การผ่าตัดโดยการส่องกล้อง (Minimally Invasive Surgery) นวัตกรรมในการผ่าตัดที่พัฒนาขึ้นมาเป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่ในการผ่าตัดที่แพทย์ไม่จำเป็นต้องเปิดแผลยาวบริเวณหน้าท้องของผู้ป่วย สามารถตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคผ่านกล้อง ซึ่งเป็นวิธีที่นิยมมากในปัจจุบัน และเป็นการเพิ่มทางเลือกใหม่ให้กับผู้ป่วยในการผ่าตัดรักษาโรคซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม
การนำกล้องมาใช้ในการผ่าตัด ช่วยให้แพทย์มองเห็นรายละเอียดเชิงลึกของอวัยวะภายในได้อย่างเสมือนจริง โดยใช้เทคโนโลยีการผ่าตัดผ่านกล้อง 3 มิติ โดยสามารถขยายภาพได้ถึง 1,000 เท่า ทำให้แพทย์สามารถทำการวินิจฉัยโรคได้อย่างเที่ยงตรงแม่นยำ และรวดเร็วมากขึ้น และทำการรักษาได้ตรงจุด นอกจากนี้ ผู้ป่วยยังไม่ต้องเผชิญความเสี่ยงจากการดมยาสลบ ตลอดจนเผชิญภาวะแทรกซ้อนต่างๆ รวมทั้งแพทย์ยังสามารถเก็บชิ้นเนื้อไปตรวจวิเคราะห์ได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
ข้อดีของการผ่าตัดโดยการส่องกล้อง
แผลเล็ก แผลผ่าตัดมีขนาดเล็กกว่าวิธีการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้องอย่างเห็นได้ชัด โดยมีแผลเป็นขนาดเพียง 0.5 – 2.0 เซนติเมตร
เจ็บน้อย ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บแผลเป็นเวลาสั้นๆ และเจ็บน้อยกว่าการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง
ฟื้นตัวเร็ว ร่างกายสามารถฟื้นตัวได้เร็ว เนื่องจาก เนื้อเยื่อได้รับความบาดเจ็บน้อยกว่า แผลผ่าตัดเล็ก เกิดพังผืดน้อย และลดโอกาสการเกิดแผลติดเชื้อได้มาก โดยใช้เวลาไม่เกิน 1 สัปดาห์ ก็สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
การผ่าตัดโดยการส่องกล้อง โรงพยาบาลศิครินทร์ มีบริการ ดังนี้
- การผ่าตัดส่องกล้องลำไส้ใหญ่และทวารหนัก
- การผ่าตัดส่องกล้องทางสูตินรีเวช
- การผ่าตัดส่องกล้องกระเพาะอาหาร
- การผ่าตัดส่องกล้องกระดูกสันหลัง
- การผ่าตัดส่องกล้องรักษาโรคไส้เลื่อน
- การผ่าตัดส่องกล้องรักษาถุงน้ำดี
- การผ่าตัดส่องกล้องรักษาโรคลำไส้อุดตัน หรือไส้ติ่งอักเสบ
- การผ่าตัดส่องกล้องตัดก้อนเนื้องอก
- การผ่าตัดศัลยกรรมทั่วไป
การเตรียมตัวตนเองก่อนและหลังการผ่าตัดส่องกล้อง
ก่อนเข้ารับการผ่าตัด
- จำเป็นต้องงดน้ำและอาหารเป็นเวลาอย่างน้อย 8 ชั่วโมง ก่อนเข้ารับการผ่าตัด โดยอาหารที่ทานมื้อสุดท้ายควรเป็นอาหารอ่อนๆ และย่อยง่าย เพราะการรับประทานอาหารมากเกินไปก่อนผ่าตัดจะเกิดความเสี่ยงต่อการสำลักอาหาร และยังทำให้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน และท้องอืดหลังผ่าตัดได้อีกด้วย
- หากตั้งครรภ์หรือสงสัยว่าตั้งครรภ์ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อน
- หากกำลังรับประทานยา สมุนไพร หรือผลิตภัณฑ์อาหารเสริมต่างๆ ควรปรึกษาแพทย์ ว่าจำเป็นต้องงดยาชนิดที่ใช้อยู่หรือไม่
- แพทย์จะทำการตรวจร่างกาย และทำการตรวจเพิ่มเติมทางห้องปฏิบัติการ เช่น การตรวจเลือด ตรวจวัดความดันโลหิต ชีพจร ระบบการทำงานของปอดและหัวใจ รวมถึงเอกซเรย์อวัยวะภายในที่เกี่ยวข้อง และอาจทำการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เพื่อประเมินภาวะสุขภาพพื้นฐานของผู้ที่จะเข้ารับการผ่าตัด
หลังการผ่าตัด
- ผู้ป่วยอาจจะรู้สึกเหนื่อยและไม่มีแรงอยู่ประมาณ 2-3 วัน ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่พบได้
- หากมีอาการปวดหรืออาการคลื่นไส้หลังผ่าตัดควรแจ้งพยาบาลให้ทราบ โดยอาการปวดแผลอาจพบได้ในช่วงแรกของการผ่าตัด ควรทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทา และเมื่อเวลาผ่านไปอาการปวดก็จะค่อยๆ ทุเลาลง
- ผู้ป่วยสามารถอาบน้ำได้โดยไม่ต้องกลัวแผลเปียก แต่หากเป็นพลาสเตอร์ปิดแผลแบบไม่กันน้ำ ก็ควรระวังไม่ให้แผลโดนน้ำอย่างเด็ดขาด จนกว่าจะครบกำหนดวันที่แพทย์นัดไปตรวจอีกครั้ง
- หลีกเลี่ยงการยกสิ่งของที่หนักเกิน 4 กิโลกรัม หรือการเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องในช่วง 6 สัปดาห์แรกและงดการออกกำลังกายอย่างหนัก ประมาณ 2-4 สัปดาห์หลังการผ่าตัด
- หลีกเลี่ยงการขับรถเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 7-10 วันหลังผ่าตัด
- งดการมีเพศสัมพันธ์เป็นระยะเวลาประมาณ 6 สัปดาห์หลังการผ่าตัด
- พักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 8- 10 ชั่วโมง ในสถานที่ซึ่งมีอากาศถ่ายเทได้สะดวก
- รับประทานยาให้ตรงตามเวลา และครบจำนวนตามที่แพทย์สั่ง
- ทำจิตใจให้ผ่อนคลาย เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
อาการผิดปกติที่ควรรีบพบแพทย์
- คลื่นไส้ อาเจียน
- มีไข้สูง
- แผลผ่าตัดบวม แดง หรือมีเลือดออก
- อาการปวดไม่ทุเลาลง เมื่อรับประทานยาแก้ปวด
- มีเลือดออกทางช่องคลอด